2st recording, Monday, January 22, 2018



ความรู้ที่ได้รับ
-ในสัปดาห์นี้จะเป็นการนำเสนองานกลุ่ม3คน ซึ่งแต่ละกลุ่มก็เตรียมตัวจะนำเสนอในหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย
**กลุ่มที่1**

เรื่อง พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัย
  •  หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี  พุทศักราช 2560
  • คุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน ๑๒ มาตรฐานประกอบด้วย
  1. พัฒนาการด้านร่างกาย มี 2 มาตรฐานคือ
  2. มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
    มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว และประสานสัมพันธ์กัน
  3. พัฒนาการด้านอารมณ์จิตใจ มี 3 มาตรฐานคือ
  4. มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
    มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
    มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
  5. พัฒนาการด้านสังคม มี 3 มาตรฐานคือ
  6. มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
    มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
    มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดี ของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข
  7. พัฒนาการด้านสติปัญญา มี 4 มาตรฐานคือ
  8. มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
    มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้
    มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
    มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหา ความรู้ได้เหมาะสมกับวัย
-ซึ่งจากพัฒนาการของปฐมวัย 2560 แล้วยังต้องมีอ้างอิง ทฤษฎีที่เกี่ยวกับพัฒนาสติปัญญาของเพียเจต์เป็นการทำงานของสมองทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
  1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่
  2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ 
  3. - ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น
    - ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น
  4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้
  5. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง
**กลุ่มที่2**

เรื่อง ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
  • ในเรื่องนี้จะเป็นความสนใจการอ่าน การเขียน และการเล่น
  1. อ่าน-เขียน  2-5 ปี  เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีที่พัฒนาการการพูดถ้าได้รับการส่งเสริมที่ถูกต้องที่ดีจะพัฒนาได้ดีแต่ถ้า ไม่ได้รับการพัฒนาที่ดีก็จะขาดประสบการณ์
  2. การจัดกิจกรรม   เสรีจำเป็น เพราะตอบสนองการเรียนรู้ของเด็กที่ช่วยพัฒนาการทั้ง 4 ด้านและก็จะมีมุมที่ให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ
  3. การเรียนการสอนบรูณาการ   เพื่อให้ประสบการณ์ของเด็กในหน่วยต่างๆเป็นการเรียนแบบโครงการ ที่ให้เด็กได้ใช้ความคิดความร่วมมือ เช่นการปลูกถั่วงอก ให้เด็กได้รู้จัก ส่วนประกอบต่างๆ การดูแลรักษาและการนำมาปรุงเป็นอาหาร
  4. การอ่าน-การเขียนร่วมกัน   ให้เด็กช่วยเขียนแผ่นชาร์ท การอ่านหนังสือร่วมกัน เช่น  ดนตรี ศิลปะ คณิศาสตร์  การเล่นกลางแจ้ง
  5. ความต้องการทางด้านร่างกาย
    -เด็กออกกำลังแขน-ขา อย่างสนุกสนาน
    -ช่วยเหลือตัวเอง
    -เด็กต้องการพักผ่อน
    -ต้องการคำแนะนำการรับประทานอาหาร
  6. ความต้องการทางอารมณ์  
  7. -จากต้องความรักจากคนรอบข้าง เช่นครู พ่อแม่ ผู้ปกครอง
    -ต้องการระบายอารมณ์
  8. ความต้องการทางสังคม
  9. -การเล่นต้องการเล่นกับเพื่อน
    -แสดงออกอย่างสนุกสนาน
    -เลียนแบบการ์ตูน บุคคลรอบข้าง
  10. ความต้องการทางสติปัญญา
  11. -ใช้ภาษาที่ถูกต้อง
  • เด็กในวัยนี้ต้องการยึดตัวเองเป็นศุนย์กลาง ความต้องการของเด็กเกิดมาจากพัฒนาการ ถ้าเราเป็นครูก็ต้องเปฌนแบบอย่างที่ดีให้เด็กได้ปฎิบัติตาม
  • ทฤษฎีพัฒนาการของบรูเนอร์ บรูเนอร์ได้ศึกษาเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่องจากเพียเจต์ บรุนเนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง (discovery learning) ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์แบ่งได้เป็น 3 ขั้นใหญ่ ๆ คือ
  1. ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ
  2. ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้
  3. ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
**กลุ่มที่3**


เรื่อง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
  1. เพียเจท์  (Piaget)  การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม
  2. มนุษย์สามารถเรียนรู้ได้ 3 ด้านคือ
      1. โลกทางกายภาพ (The physical world) 
      2. โลกทางสังคม (The social world)
      3.การสร้างความสัมพันธ์ภายในจิตใจ (The construction of mental relationships)
  3. ไวกอสกี้  (Vygotsky)    เด็กจะเกิดการเรียนรู้ พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยที่การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นภายในการทำงานของ Zone of proximal development ซึ่งเป็นสภาวะที่เด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์
    เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้
  4. บรูเนอร์(Bruner) 
-และนอกนั้นยังมีนักทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัย คือ วัตสัน  ฟาลอฟ   เป็นต้น
              
**กลุ่มที่4**


เรื่อง รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบโครงการ (Project Approach)
  •  ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่องที่ต้องการเรียนรู้
  • การจัดการเรียนการสอน มี 3 ระยะ
Project Approach ระยะที่1 – เริ่มต้นโครงการ  =  เด็กร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจ  --> ได้หัวข้อเสร็จก็ถามประสบการณ์เดิม   --> ตั้งคำถามที่อยากรู้แล้วครูก็บันทึก  
Project Approach ระยะที่2 – การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนรู้  = ครูช่วยเด็กๆวางแผน  --> ให้เด็กวาดภาพประสบการณ์เดิมให้เชื่อมโยงความคิดออกมาเป็นภาพ  --> หาคำตอบ

Project Approach ระยะที่3 – การสรุป Project   =  ต้องวางแผนแบ่งหน้าที่ให้เรียบร้อย  -->  ปฏิบัติ    -->  นำเสนอ

*ระยะเวลาส่วนใหญ่ใช้เวลา 1- 2สัปดาห์
  • ประโยชน์ของการสอนProject Approach 
-เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้
-เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเองในงานและกิจกรรมที่ทำ
-ส่งเสริมให้เด็กมีวิธีการทำงานอย่างมีแบบแผน
-สามารถนำรูปแบบการสืบค้นความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง

ทักษะ
  1. ได้จดจำทฤษฎีต่างๆทั้งสติปัญญา  การเรียนรู้ ไปปรับใช้ในการเรียนการสอน
  2. การเรียนแบบโครงการทำให้ได้รู้ว่ามีกี่ระยะและสามารถนตำไปบรูณาการใช้กับเด็กในรูปแบบไหน
  3. ได้รู้ว่าเด็กมีความต้องการแบบไกนทั้งการเรียน การอ่าน เขียน  และการเล่น
การนำไปประยุกต์ใช้
  1. ในสัปดาห์นี้ได้มีการนำเสนอความรู้ที่มากมายทั้งของเพื่อนและอาจารย์เราสามารถนำไปปรับใช้ได้เอาทฤษฎีของเพียเจต์หรือบรูเนอร์ไปใช้กับการเรียนได้
บรรยากาศในห้องเรียน
  1. ห้องเรียนวันนี้บรรยาเงียบสงบเพราะว่านักศึกาทุกคนตั้งใจฟังเพื่อนๆแต่ละกลุ่มนำเสนอเป็นอย่างดี
ประเมินวิธีการสอน
  1. อาจารย์ได้ให้ความรู้ในเรื่องที่นักศึกษาอาจจะยังไม่เข้าใจทำให้นักศึกษาทุกคนได้รับข้อมูลเพิ่มเติม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้